วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทฤษฎีความรับผิดในทางภาวะวิสัย (๑)

คำถามที่ว่าความผิดอาญาจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นจำต้องพิจารณาการกระทำที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับองค์ประกอบภายนอกความผิดอาญา และข้อพิจารณาในองค์ประกอบภายนอก เป็นหลักการที่มุ่งเน้นพิจารณาการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่ามีความผิดตามที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้หรือไม่ ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวจะดำเนินไปบนการค้นหาถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ คือ การกระทำ และผล คือ ผลของการกระทำ (Kausalitaet)

ในเยอรมนีการพัฒนาหลักการว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล(ซึ่งมีที่มาจากการกระทำจริงๆของบุคคลในสังคม) ยืนอยู่บนทฤษฎีเงื่อนไข (Bedingungstheorie : Aequivalenztheorie) มาอย่างยาวนาน โดยทฤษฎีนี้กำหนดโดย Julius Glaser นักกฎหมายชาวออสเตรีย และผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งอาณาจักรไรช์ ชื่อ Maximilian von Buri เป็นผู้นำมาใช้ในเยอรมัน อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็มีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ ซึ่งนำไปสู่การสร้างทฤษฎีอื่นๆ อาทิ ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม ( Aeaequanztheorie) ทฤษฎีเหตุที่สำคัญ ( Relavanztheorie) และ ทฤษฎีความรับผิดทางภาวะวิสัย (Die Lehre von der objektiven Zurechnung)แต่อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ยังไม่ได้สูญหายไปไหนและยังคงเป็นหลักการที่ผู้ศึกษากฎหมายในเยอรมนียังคงเล่าเรียนอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาว่า การกระทำ ของผู้กระทำ จะมีผลต่อ ผลของการกระทำ หรือไม่ มีประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังนี้


1.ความผิดอาญาที่ต้องการผล (Erfolgsdelikt)กับความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผล ( schlichten Taetigkeitsdelikt)ในกฎหมายอาญาภาคความผิดสามารถจำแนกความผิดอาญาออกได้เป็น ความผิดอาญาที่ต้องการผล และความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผล ในความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผลนั้นการกระทำใดจะครบองค์ประกอบก็ต่อเมื่อผู้กระทำความผิดได้กระทำการครบองค์ประกอบของการกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การเบิกความเท็จในศาล เป็นความผิดเมื่อมีการกล่าวข้อความในการพิจารณาคดีอันเป็นเท็จ แต่ในกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผล นอกจากผู้กระทำจะต้องกระทำการครบองค์ประกอบของการกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว การกระทำดังกล่าวต้องเป็นสาเหตุให้เกิดผลของการกระทำขึ้นในโลกภายนอก ผลของการกระทำดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันถึง การละเมิดต่อคุณธรรมทางกฎหมาย (Rechtsgut)นั่นเอง

จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงเกิดความจำเป็นในกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผลในอันที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลของการกระทำ(Kausalitaet)เกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะตัดสินต่อไปว่าด้วยผลของการะกระทำดังกล่าว ผู้กระทำมีส่วนในการกระทำความผิดอาญาและต้องรับโทษหรือไม่ อย่างไร ดังนั้นการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผล ส่วนในกรณีความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผลไม่มีความจำเป็นในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแต่ประการใด

2.ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ (Die Kausalitaet der Handlung fuer den Erfolg) กับทฤษฎีเงื่อนไข ( Bedingungstheorie) การจะพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลที่ครบองค์ประกอบตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญาหรือไม่ ต้องมีการพิจารณา ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล ระหว่าง การกระทำ และ ผลที่เกิดขึ้น (Kausalitaet)นั่นเอง ซึ่งในเยอรมนี ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล (Kausalitaet)แต่เดิมนิยมอธิบายโดย ทฤษฎีเงื่อนไข (Bedinungstheorie: Aequivalenztheorie)

ทฤษฎีเงื่อนไข (Bedingungstheorie: Aequivalenztheorie) อธิบายว่า "เหตุ ในความหมายของกฎหมายอาญา คือ เงื่อนไขทุกเงื่อนไข ที่เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว เงื่อนไขดังกล่าวได้ก่อ ผลที่เป็นรูปธรรม ให้เกิดขึ้น" หรืออาจกล่าวว่า "การกระทำทุกๆอันย่อมถือเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้าหากว่าการกระทำนั้นไม่มีอยู่แล้ว ผลนั้นๆก็จะไม่เกิดขึ้น (Conditio sine qua non)

จากนิยามดังกล่าว หากปรากฎว่า เหตุ คือ การกระทำที่ทำให้เกิดผลมีเพียงประการเดียวก็ไม่ยากแก่การพิจารณา เช่น นาย เอ ใช้มีดแทงนายบี จนนายบีถึงแก่ความตาย กรณีนี้ การกระทำของนายเอ คือ การแทงย่อมเป็นเหตุอันก่อให้เกิดผล คือ ความตายของนายบี หรืออาจกล่าวได้ว่า การกระทำของนายเอเมื่อนำมาพิจารณาในฐานะเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว เงื่อนไขดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม

ทฤษฎีเงื่อนไข(Bedingungstheorie: Aequivalenztheorie)ได้ให้น้ำหนักกับเหตุต่างๆที่นำไปสู่ผลอย่างเท่าเทียมกันอย่างไรก็ตามทฤษฎีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่า ในกรณีที่สมมุติว่าการกระทำใดเป็นการกระทำที่ไม่สำเร็จ แต่ผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังคงเกิดขึ้น กรณีแสดงว่าการกระทำนั้นมิใช่เหตุที่ทำให้เกิดผล ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อการกระทำดังกล่าวไม่ถูกนำมาพิจารณาในฐานะเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมก็ยังเกิดขึ้นหรือไม่เสียไปอยู่ดี

ตัวอย่างเช่น นายเอ ผลักนาย บี จนนายบีตกจากรถไฟและถูกรถไฟทับตาย

ถ้านายเอ ไม่ผลักนายบี นายบีก็คงไม่ตกจากรถไฟและถูกรถไฟทับตาย การกระทำของนายเอเมื่อนำมาพิจารณาเป็นเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมคือความตายของนายบีย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้ การกระทำของนายเอเป็นเหตุก่อให้เกิดผล

2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)

ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)

นายเอใช้มีดแทงนายบีซึ่งป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งและน่าจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง

ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ผล คือ ความตายของนายบี มีโอกาสจะเกิดขึ้นด้วย โรคมะเร็ง ปัญหาคือเมื่อนายบีจะต้องตายด้วยโรคมะเร็งอยู่แล้ว การกระทำของนายเอจะถือเป็นเหตุที่ทำให้นายบีตายด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่มีการแทง นายบีก็คงจะต้องตายด้วยโรคมะเร็งเป็นแน่แท้ กรณีหมายความว่า การกระทำของนายเอเมื่อไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผล คือความตายของนายบีย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้วจากโรคมะเร็ง ซึ่งหากตีความตามตรรกะแห่งทฤษฎีเงื่อนไขอย่างตรงๆ การกระทำของนายเอ ย่อมไม่เป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล นายเอจึงไม่ต้องรับผิด

อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้น หากมุ่งเน้นพิจารณาที่การตายของนายบีด้วยมีด จะเห็นได้ว่า เมื่อไม่นำการกระทำของนายเอ คือ การแทงด้วยมีดมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลของการกระทำ คือ การตายของนายบีด้วยมีดย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้น กรณีนี้ การกระทำของนายเอย่อมเป็นเหตุให้เกิดผล

(ผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้ไม่มีความจำเป็นต้องแยกการพิจารณาออกต่างหาก เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)เนื่องจาก ๑.หากพิจารณาผล คือ ความตายด้วยมีด ซึ่งลักษณะของศพและบาดแผลย่อมปรากฏชัดว่ามิใชการตายด้วยโรคมะเร็ง ย่อมตัดเหตุคือการตายด้วยโรคมะเร็งออกโดยไม่ต้องนำมาพิจารณาก็ได้ ๒.ณ ขณะก่อนที่จะมีการแทงเกิดขึ้นชีวิตของนายบียังคงมีอยู่ แม้ว่านายบีจะเป็นโรคมะเร็งก็ตาม และกรณีนี้ หากพิจารณาต่อไปว่ามนุษย์ทุกคนต้องตายไม่ด้วยโรคใดก็โรคหนึ่ง แต่สาระสำคัญคือ ชีวิตที่ยังมีอยู่ก่อนหน้าที่ความตายด้วยโรคจะเกิดขึ้น การนำโรคแม้ว่าอาจก่อให้เกิดความตายได้ในอีกไม่นานมาพิจารณาร่วม จึงไม่น่าจะชอบด้วยเหตุผลของเรื่อง)


2.2 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบแทรกแซง (Abgebrochene bzw.ueberholende Kausalitaet)

ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบแทรกแซง (Abgebrochene bzw.ueberholende Kausalitaet)

นายเอผลักนายซีซึ่งว่ายน้ำไม่เป็นลงไปในบ่อน้ำลึก ซึ่งสามารถทำให้นายซีจมน้ำตายได้ ก่อนที่นายซีจะจมน้ำตาย นายบีได้ใช้ปืนยิงไปที่นายซีจนนายซีเสียชีวิต

ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำ คือ นายเอผลักนายซี และนายบียิงนายซี ๒.การกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังยังผลโดยไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำแรก หมายความว่า ความตายของนายซีมีสาเหตุหนึ่งเดียวจากการกระทำโดยการยิงของนายบี แม้ว่าหากนายบีไม่ยิงนายซี นายซีอาจจะจมน้ำตายเนื่องจากการผลักของนายเอก็ตาม ๓.กรณีนี้อาจขยายความเพิ่มเติมว่า ผลจากการกระทำของนายบี ได้เข้ามาแทรกแซง ผลจากการกระทำของนายเอ ถ้าจะกล่าวให้ง่ายเข้า ความตายจากการยิง ได้วิ่งแซง ความตายจากการจมน้ำ นั่นเอง ดังนั้นผลของผลของการกระทำที่เกิดขึ้นจริงและต้องนำมาพิจารณา คือ ความตายของนายซีจากการถูกยิง

กรณีนี้ เมื่อการกระทำของนายเอไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรม คือ ความตายของนายซีโดยการถูกยิง ก็ยังคงเกิดขึ้นโดยไม่เสียไป กรณีดังกล่าว การกระทำของนายเอจึงไม่ได้เป็นเหตุทำให้นายซีตายด้วยการถูกยิง แต่นายเอมีความผิดฐานพยายามฆ่าเนื่องจากแม้จะการกระทำของนายเอจะขาดซึ่งองค์ประกอบภายนอกแต่ก็ครบองค์ประกอบภายใน

2.3 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)

ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)

นายเอและนายบีต่างใช้มีดแทงนายซีพร้อมๆกัน การแทงของทั้งคู่เป็นเหตุให้นายซีเสียเลือดอย่างมาก จนนายซีถึงแก่ความตาย

ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำ คือ นายเอแทงนายซี และนายบีแทงนายซี ๒.การกระทำทั้งสองไม่ขึ้นตรงต่อกันและกัน (ต่างคนต่างทำ) ๓.การกระทำทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อให้เกิดผล หมายความว่า หากขาดการกระทำใดกระทำหนึ่ง ผล คือ ความตายของนายซี ก็จะไม่เกิดขึ้น (กรณีนี้หากพิจารณาตามตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไขจะเห็นว่า เมื่อ ไม่นำการกระทำของนายเอ หรือ นายบีขึ้นเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลแล้ว ผลของการกระทำ คือ ความตายของนายซีก็จะไม่เกิดขึ้น แสดงว่า การกระทำของนายเอหรือนายบีเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล )

ในทางตำราอธิบายว่า เมื่อไม่นำการกระทำของนายเอมาพิจารณา นายซีก็ไม่น่าจะถึงแก่ความตาย เพราะการกระทำของนายบีแต่ผู้เดียวไม่อาจนำไปสู่ความตายได้ กรณีนี้ในทางกลับกันใช้กับกรณีที่ไม่นำการกระทำของนายบีมาเป็นเงื่อนไขพิจารณาด้วย ดังนั้น การกระทำของนายเอและนายบีจึงเป็นเหตุร่วมกันที่ก่อให้เกิดผล


2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet)

ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet)

นายเอและนายบีต่างก็วางยานายซี โดยที่การกระทำของทั้งคู่ไม่ขึ้นตรงต่อกันและกัน ( ต่างคนต่างทำ )โดยทั้งคู่ต่างวางยาพิษในกาแฟของนายซีในปริมาณที่ทำให้นายซีถึงแก่ความตายได้ นายซีดื่มกาแฟและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำที่ไม่ขึ้นต่อกัน ๒.การกระทำแต่การกระทำสามารถก่อให้เกิดผล คือ ความตายของนายซี ได้ ๓.เมื่อพิจารณาตามตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไข การกระทำของนายเอ หรือ นายบี เมื่อไม่ยกเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรมย่อมเกิดขึ้นหรือไม่เสียไป ผลของการพิจารณาตามตรรกะดังกล่าว ทำให้การกระทำของนายเอ หรือ นายบีไม่เป็นสาเหตุให้เกิดผล (กรณีดังกล่าวแสดงออกถึงข้อจำกัดทางตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไขอย่างชัดเจน)

(อย่างไรก็ตามได้มีการพัฒนาหลักการเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือกขึ้น โดยทฤษฎีนี่มีหลักการว่า ในการกระทำสองการกระทำที่แต่ละการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่างก็สามารถก่อให้เกิดผลได้ การกระทำทั้งสองย่อมเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล)

การพัฒนาหลักการ conditio sine qua non formel ได้ก่อให้เกิดการตีความในกรณีนี้ คือ "เงื่อนไขทั้งหลายที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาในลักษณะที่เป็นทางเลือก (Alternative Kausalitaet)(มิใช่พิจารณาในลักษณะร่วมกัน แบบ Kumulative Kausalitaet) โดยที่ไม่ทำให้ผลที่เป็นรูปธรรมเสียไป เงื่อนไขดังกล่าวย่อมเป็นสาเหตุทำให้เกิดผล"

กรณีนี้อาจอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า ๑.มีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดผลสองเงื่อนไข ๒.เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งถูกเลือก(Alternative Kausalitaet)ขึ้นมาพิจารณา ๓.เมื่อการพิจารณาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เงื่อนไขดังกล่าวหากไม่มีอยู่ ผลของการกระทำย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้ เงื่อนไขดังกล่าวย่อมเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล

จะเห็นได้ว่า กรณีนี้มีความแตกต่างจากทฤษฎีเงื่อนไขตามปกติ คือ

๑.ในองค์ประกอบส่วนเหตุ พิจารณาการกระทำหลายการกระทำมีลักษณะเป็นAlternative Kausalitaet แต่ในกรณีทฤษฎีเงื่อนไขปกติ พิจารณาเหตุทุกเหตุ

๒.ในองค์ประกอบส่วนผล เงื่อนไขใดที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาแล้วผลที่เป็นรูปธรรมยังคงมีอยู่ เงื่อนไขนั้นเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล แต่ในกรณีทฤษฎีเงื่อนไขปกติ กล่าวว่า เงื่อนไขใดที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาแล้วผลที่เป็นรูปธรรมยังคงมีอยู่ เงื่อนไขนั้นไม่เป็นนเหตุที่ก่อให้เกิดผล

2.5 คดี Lederspray ( BGHSt 37,106)
ทฤษฎีที่กล่าวแล้วในหัวข้อ 2.1-2.4 เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมตรรกะทางภาษาของทฤษฎีเงื่อนไขให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กรณีนี้ผู้เขียนมีข้อสังเกตในแง่ทฤษฎีกฎหมายว่า นักกฎหมายพึงรำลึกไว้เสมอว่า ตรรกะทางภาษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่ง กฎเกณฑ์(Norm)เป็นสิ่งที่มีขอบเขตจำกัดในการอำนวยความยุติธรรมตามเป้าหมาย (Zweck)ที่แท้จริงของกฎหมาย
ซึ่งในบางครั้ง การบิดเบือนกฎหมายโดยการตีความผ่านตรรกะทางภาษาอ่านกลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนกฎหมายให้กลายให้เป็นข้อแก้ตัวที่แนบเนียน ซึ่งอาจปรากฏขึ้นในการต่อสู่คดี เฉกเช่นที่เกิดขึ้นในคดีในเยอรมนีที่ชื่อว่า Lederspray (BGHSt 37,106)

คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก บริษัทผู้ผลิตน้ำยาซักผ้าได้กำหนดการผลิตสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาด ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ปรากฏข้อสงสัยว่าสินค้าตัวใหม่มีสารพิษที่ทำอันตรายต่อปอด อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทจำนวน ๙ คนได้ลงคะแนนให้มีการวางจำหน่ายด้วยคะแนน ๗-๒ เสียง หลังจากวางจำหน่ายปรากฏว่ามีลูกค้าหลายรายได้รับอันตรายจากสินค้าดังกล่าว

คณะกรรมการทั้ง ๗ คนได้ต่อสู้คดี โดยให้เหตุผลว่า การลงคะแนนของตนไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดผล คือ อันตรายต่อร่างกาย เนื่องจาก หากขาดคะแนนของแต่ละคนไปหนึ่งเสียง อย่างไรเสียคะแนนที่เหลือ คือ จำนวน ๖ คะแนน ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้การวางจำหน่ายเกิดขึ้น ( กรณีนี้จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการทั้ง๗ ต่อสู้คดีโดยใช้ตรรกะทางภาษาของทฤษฎีเงื่อนไขที่ว่า "หากคะแนนเสียง ๑ เสียงไม่ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรมของการกระทำย่อมเกิดขึ้นหรือไม่เสียไป ดังนั้นเสียงหนึ่งเสียงของแต่ละคนจึงมิใช่เหตุที่ก่อให้เกิดผล ตนจึงไม่ต้องรับผิด" )

ในกรณีนี้ ศาลฎีกาเยอรมนี ตัดสินแก้ลำโดยให้เหตุผลว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet) แม้ว่าเสียงข้างมากจะไม่เสียไปหากกรรมการคนใดคนหนึ่งลงคะแนนเสียงเป็นอย่างอื่น ในทางกลับกันผลการลงมติอาจเสียไป หากกรรมการทั้งหมดลงคะแนนเสียงเป็นอย่างอื่น

กรณีนี้ในความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า ศาลฎีกาเยอรมนีมองว่า คะแนนเสียงทุกคะแนนเสียงโดยตัวของมันเองไม่ขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงอื่น ต่างก็ก็สามารถเป็นทางเลือกที่ก่อให้เกิดการลงมติในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ ดังนั้นกรณีนี้ คะแนนเสียงหนึ่งคะแนนจึงมีลักษณะเป็นเหตุแบบทางเลือก ซึ่งตามตรรกะของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก นั้น อาจตัดสินว่า "หากคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนเสียงไม่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมก็ยังคงเกิดขึ้น ดังนั้นคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนจึงเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล

กรณีดังกล่าว หากสมมุติว่า มีการลงมติด้วยคะแนน ๕ ต่อ ๔ ก็จะเป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)ซึ่งหากพิจารณาตามความสัมพันธ์นี้จะได้ผลการพิจารณาว่า "หากคะแนนหนึ่งคะแนนถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลของการลงมติก็ยังคงไม่เสียไป"กรณีดังกล่าวแสดงว่า เสียงหนึ่งเสียงเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลที่เป๋นรูปธรรม

2.6 กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แจ้งชัด
ทฤษฎีเงื่อนไขมีข้อจำกัดในตัวเองเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความผิดอาญานั้นไม่แจ้งชัด

ตัวอย่างเช่น นายเอและนายบีต่างลงมือยิงนายซีในเวลาเดียวกัน กระสุนนัดหนึ่งถูกนายซีเข้าที่หัวใจ อีกนัดเข้าที่ศรีษะ นายซีเสียชีวิต โดยไม่อาจทราบได้ว่า กระสุนของใครก่อให้เกิดความตายก่อน

กรณีดังกล่าว หากสมมุติว่า กระสุนของนายเอถูกนายซีก่อน นายซีย่อมถึงแก่ความตายด้วยคมกระสุนของนายเอ ดังนั้นกระสุนของนายบีจึงเป็นยิงเข้าที่ศพ นายบีจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเท่านั้น กรณีเดียวกัน นายเอ อาจต่อสู้ว่า กระสุนของนายบีถูกนายซีก่อนกระสุนของตนได้เช่นกัน ซึ่งกรณีนี้ยากแก่การพิสูจน์เนื่องจากกระสุนปืนมีความเร็วมากจนไม่อาจทราบได้อย่างแจ้งชัด

จากปัญหาดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากหลัก in dubio pro reo หรือ หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย จะเห็นว่า กรณีนี้เกิดความไม่ชัดแจ้ง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในสองทาง จึงไม่อาจทราบแน่ชัดว่าบุคคลใดก่อความตาย บุคคลใดยิงศพ กรณีอาจมีการลงโทษผิดคน จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย ดังนั้น นายเอและนายบีจึงถูกลงโทษฐานพยายามฆ่า

3.ข้อบกพร่องของทฤษฎีเงื่อนไขในการเอาผิดทางอาญา
ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในวงวิชาการกฎหมายเยอรมนีว่า ทฤษฎีเงื่อนไขยังมีข้อบกพร่องและไม่เพียงพอในการพิจารณาการกระทำของผู้ต้องหากับองค์ประกอบภายนอกเพื่อเอาผิดอาญา ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่ว่า ทฤษฎีเงื่อนไขพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆอย่างไร้ขอบเขต เช่น พ่อ แม่ ของจำเลยก็เป็นเหตุเนื่องจากให้กำเนิดจำเลยขึ้นมา ถ้าไม่มีการให้กำเนิดจำเลย ผลที่เป็นรูปธรรมก็คงไม่เกิดขึ้น แน่นอนที่สุดหากมีการเอาผิดพ่อแม่ของจำเลย การดังกล่าวย่อมไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง

และเช่นกันที่มีความพยายามในการพัฒนาทฤษฎีอื่นๆ เช่น ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม ( Aeaequanztheorie) ทฤษฎีเหตุที่สำคัญ ( Relavanztheorie) เพืออุดข้อบกพร่องของทฤษฎีเงื่อนไข แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสร้างเหตุผลที่สมบูรณ์ในการอธิบายเอาผิดทางอาญาในส่วนขององค์ประกอบภายนอกได้ อย่างไรเสีย ทฤษฎีเงื่อนไขยังเป็นทฤษฎีที่จำเป็น แต่ไม่เพียงพอที่จะใช้ทฤษฎีนี้แต่เพียงทฤษฎีเดียว ทฤษฎีเงื่อนไขยังต้องมีการพัฒนาและเติมเต็มในเชิงกฎเกณฑ์ต่อไป ซึ่งกรณีนี้นำไปสู่การพัฒนา ทฤษฎีความรับผิดเชิงภาวะวิสัย (Die Lehre von der objektiven Zurechnung) ซึ่งอาจารย์จะได้นำเสนอในตอนที่ ๒

.............................
บทความนี้ ผู้เขียนแปลจาก Vorlesungsskript : Strafrecht fur auslaendische Studierende ของ Dr.Peter Kasiske)

ระบบการเมืองกับกฎหมายเอกชนเยอรมนี (๑)

กฎหมายเอกชน หมายถึง กฎหมายเกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อเอกชน อาทิเช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ ซึ่งในประเทศไทยหลักการของกฎหมายทั้งสองรวมอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยหลักการของกฎหมายเอกชนมักเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากกว่าจะป็นเรื่องการเมือง โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงระบบการเมือง เรามักนึกถึง กฎหมายมหาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อในระบบกฎหมายเยอรมนี มีการกล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่าง กฎหมายเอกชน กับระบบการเมือง จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ควรทำการศึกษาหรือเผยแพร่ประเด็นที่กล่าวมานี้แก่นักศึกษาและผู้ที่สนใจ

1.กฎหมายเอกชน กับสังคมอุตสาหกรรม

กฎหมายเอกชนยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักการทางสังคมและเศรษฐกิจในระบบอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้จัดระบบและเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมอย่างที่เราไม่อาจคาดคิด การดังกล่าวได้นำไปสู่ การผลิตสินค้า การค้าขาย และบริการ โดยสังคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะขยายขนาดของการผลิต การค้าและบริการมากขึ้นทุกวัน การควบรวมบริษัทได้บีบบังคับให้เกิดการสร้างกฎเกณฑ์ที่เข้าไปกำกับดูแลตลาดที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และผู้ใช้แรงงาน คือ ประชากรส่วนใหญ่ในสังคมอุตสาหกรรมแห่งนี้

การควบรวมบริษัทให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นได้ก่อให้เกิดพลังอำนาจใหม่ทางการตลาดและสร้างปัญหาในการตัดสินใจในเรื่องทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ( เช่น การควบรวมกิจการจนก่อให้เกิดการผูกขาดทางการค้าจนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายอื่น และผู้บริโภค) กรณีดังกล่าวจึงได้เกิดแนวความคิดในการสร้างสมดุลให้เกิดกับสังคมโดยการบัญญัติกฎเกณฑ์ในทางเศรษฐกิจ ( เช่น กฎหมายการแข่งขันทางการค้า)กระทั่งการบัญญัติหลักการในการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคมในรัฐธรรมนูญ ( เช่น การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม) ในที่สุดความต้องการในการมีกฎเกณฑ์ที่เข้าไปจัดความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างผู้ผลิตสินค้ากับผู้บริโภคก็เกิดขึ้น การดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างหลักการใหม่ๆทั้งในการบัญญัติกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติและการตัดสินคดีของศาลซึ่งในยุโรปมิได้เกิดขึ้นเพียงในระดับชาติเท่านั้น การเกิดขึ้นของสหภาพยุโรปได้ก่อให้เกิดการสร้างระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อสร้างสมดุลให้กับตลาด โดยเฉพาะในพรมแดนของกฎหมายการค้าและบริการ รวมถึงการคุ้มครองผู้บริโภค และการปรับระบบวิธีพิจารณาคดีแพ่งให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น (ในประเทศไทยได้เพิ่งมีการบัญญัติกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีคุ้มครองผู้บริโภค)

นอกจากนี้การพัฒนาระบบการสื่อสารสารสนเทศได้ก่อเกิดการทำนิติกรรมสัญญาในระบบอินเทอเนตซึ่งทวีความสำคัญอย่างมากมายในปัจจุบัน ระบบอินเทอเนตได้สร้าง นิติสัมพันธ์ ที่มีลักษณะข้ามชาติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกฎเกณฑ์ในการเข้าไปจัดระบบระเบียบสำหรับคู่สัญญา ในเยอรมนีการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อบทบัญญัติในบรรพที่ ๑ ว่าด้วยหลักการทั่วไป โดยมีการบัญญัติกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแสดงเจตนาผ่านการสื่อสารทางไกลในประมวลกฎหมายแพ่ง และประชาคมยุโรปเองก็ได้วางแนวทาง (Richtlinie)ให้กับรัฐสมาชิกในการพัฒนากฎเกณฑ์เกี่ยวกับ การแสดงเจตนาผ่านการสื่อสารทางไกล (Die EG-Fernabsatzrichtlinie) การค้าอิเลกทรอนิก (E-commerce-Richtlinie) การปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนการส่งเสริมการค้าขายพาณิชย์อิเลกทรอนิก

2.กฎหมายเอกชนในฐานะเครื่องมือกำหนดทิศทางสังคม

กฎหมายเอกชนมีลักษณะเช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆซึ่งมีพันธกิจสำคัญในการเป็นเครื่องมือสำหรับกำหนดทิศทางของสังคม กฎหมายเอกชนจึงมิอาจแยกขาดจากระบบการเมืองและสังคมของประเทศหนึ่งๆและยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสถาปนาหลักการทางรัฐธรรมนูญ ( เช่น หมวดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ) โดยหน้าที่ของกฎหมายเอกชนในฐานะที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งทางการเมืองได้รับการยอมรับในวงวิชาการและในทางปฏิบัติ ของประเทศเยอรมนี

ในปัจจุบันได้เกิดปรากฏการณ์ในการสร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นกับระบบกฎหมายเอกชนของรัฐสมาชิกในสหภาพยุโรปที่ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลักการทางกฎหมายเอกชนหลายหลักการมีความเกี่ยวพันกับความคิดทางการเมืองและได้รับการคุ้มครองโดยระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ ซึ่งหากแนวทางของสหภาพยุโรปเป็นจริงหลักการของกฎหมายเอกชนย่อมได้รับผลกระทบและต้องมีการพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อระบบกฎหมายหรือบทบัญญัติอื่นๆที่เกี่ยวพันหรือไม่ อย่างไร นอกจากนี้ความแตกต่างของบทบัญญัติแห่งกฎหมายในรัฐสมาชิกทำให้การสร้างเอกภาพให้กับระบบกฎหมายเอกชนของสหภาพยุโรปยากที่จะเป็นจริง

หลักการพื้นฐานของกฎหมายเอกชน เช่น ความสามารถในทางกฎหมาย พรมแดนอิสระของเอกชน ทรัพย์สิน เป็นหลักการที่มีพัฒนาการจาก เสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมของบุคคลในทางกฎหมายเอกชน อาจกล่าวได้ว่าหลักการพื้นฐานของกฎหมายเอกชนได้บันทึกไว้ซึ่งประสบการณ์ของมนุษยชาติในหลายช่วงทางประวัติศาสตร์ หลักการดังกล่าวได้กลายเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งปรากฏตัวอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่ง ซึ่งมีเป้าหมายในการบรรลุถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมอันเป็นหลักการเบื้องหลังในการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์

การผูกมัดกับระบบการเมืองทำให้กฎหมายเอกชนสร้างหน้าที่ทางกฎหมายและทางการเมืองให้กับฝ่ายนิติบัญญัติ แต่บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติในระดับชาติอาจถูกมองข้ามเมื่อสถาบันต่างๆของสหภาพยุโรปเจริญเติบโตมากขึ้น โดยบทบาทของสหภาพยุโรปมีส่วนสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมในการเปลี่ยนแปลงหลักการของกฎหมายเอกชน ซึ่งบทบาทดังกล่าวอาศัยการทำงานของรัฐสภายุโรปและคณะกรรมการต่างๆของสหภาพยุโรป ซึ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

3.ความเชื่อมโยงระหว่างพันธกิจของกฎหมายเอกชนกับระบบการเมือง
ความเชื่อมโยงของกฎหมายเอกชนกับระบบการเมืองได้ปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์เยอรมนีอย่างมีนัยสำคัญ ความเปลี่นแปลงของประมวลกฎหมายแพ่ง ( Buergerliche Gesetzbuch : BGB )ที่เกิดขึ้นทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช ( Kaiserreich) ยุคสาธารณรัฐไวมาร์ ( Weimarer Republik) ยุคนาซี ( NS-Zeit)ยุคสังคมนิยมในเยอรมนีตะวันออก (DDR) และยุคสาธารณรัฐเยอรมนี ( Bundesrepublik)เป็นประจักษ์พยานของเนื้อหาแนวคิดการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อกฎหมายเอกชนเยอรมนี ซึ่งในกรณีนี้มีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ

๑.กฎหมายเอกชนเยอรมนีในยุคนาซี

ในยุคนาซีมีความพยายามในการแทนที่ประมวลกฎหมายแพ่ง (BGB) ที่มีรากฐานจากกฎหมายโรมันด้วยประมวลกฎหมายของประชาชน( Volksgesetzbuch)ซึ่งมีพื้นฐานจากแนวคิดชาตินิยม บทบัญญัติทั่วไปของประมวลกฎหมายแพ่ง (BGB)ถูกกำจัดออกไปจากแผนการบรรยายทางวิชาการในมหาวิทยาลัยโดยอาศัยกฎระเบียบเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของอาณาจักรไรช์ กฎเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญ อาทิ การแสดงเจตนา นิติกรรม สัญญา เผชิญข้อหาที่ว่า บทบัญญัติดังกล่าว ไม่มีลักษณะที่เป็นรูปธรรม (konkret) และไม่ส่งเสริมคุณลักษณะของชาวเยอรมนี (voelkisch)ในปี ๑๙๓๗ เลขานุการแห่งอาณาจักรไรช์ นามว่า Schlegelberger ได้กล่าวอย่างสิ้นคิดในเบอร์ลินว่า "บอกลา BGBได้แล้ว" หลังจากนั้นได้มีศาสตราจารย์จำนวนมากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงปี ๑๙๓๙-๑๙๔๓ เพื่อจัดทำประมวลกฎหมายของประชาชน ซึ่งปรากฏหลักการพื้นฐานที่สำคัญ ดังนี้

ก.ประมวลกฎหมายของประชาชนต้องสนองตอบต่อนโยบายข้อ ๑๙ ของพรรคนาซีที่ว่า "เราส่งเสริมให้แทนที่กฎหมายแพ่งที่ใช้ทั่วโลกซึ่งมีที่มาจากกฎหมายโรมัน ด้วย กฎหมายแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของชาติเยอรมนี" (กรณีนี้แสดงออกถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลกใหม่ของนาซีผ่านประมวลกฎหมายแพ่งของประชาชน )

ข. "เป้าหมายในการยกเลิก BGB คือการก้าวข้ามความบิดเบือนของแนวคิดเรื่องเสรีภาพที่มุ่งเน้นเพียงแต่ความเป็นปัจเจกชนนิยมและวัตถุนิยม" (กรณีนี้แสดงออกถึงความพยายามในการทำลายแนวคิดของสิทธิและเสรีภาพที่เป็นพื้นฐานของ BGB)

ค."เสรีนิยม คือ ความคิดว่าด้วยหน้าที่ และความสามัคคี และประโยชน์ของมหาชนมีขึ้นเพื่อปัจเจกบุคคล (Gemeinnutz geht vor Eigennutz)" (กรณีนี้แสดงออกถึงความพยายามบิดเบือนหลักการเสรีนิยมให้สอดคล้องกับหลักการของนาซี)

ง.นโยบายของพรรคนาซีถือเป็น บ่อเกิดแห่งกฎหมาย

จ.ต้องมีการสถาปนาความเป็นหนึ่งเดียวแห่งกฎหมายเพื่อความไพบูลย์ของเลือดเยอรมัน

หลักการพื้นฐานที่กล่าวมาได้นำไปสู่การจัดทำร่างประมวลกฎหมายของประชาชน โดยในหลักพื้นฐานประการที่ ๙ บัญญัติว่า "ประชาชนทุกคนควรใช้เงินและทรัพย์สินของตนเพื่อเป้าหมายในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประชาชาติเยอรมนี" ในหลักการพื้นฐานประการที่ ๑ และ ๗ กล่าวว่า "ความไพบูลย์ของชนชาติเยอรมัน คือกฎเกณฑ์สูงสุด" และ "หน้าที่ประการแรกของชนชาวเยอรมันคือ การใช้พลังของตนเพื่อประชาชาติเยอรมัน" นอกจากนี้การตีความประมวลกฎหมายต้องยึดถืออุดมการณ์ของพรรคนาซีเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตามร่างประมวลกฎหมายของประชาชนไม่มีผลใช้บังคับจริงแต่ประการใด

๒.กฎหมายเอกชนในระบบสังคมนิยม ( เยอรมนีตะวันออก )
ในสมัยที่มีการแบ่งยแกเยอรมนีออกเป็นสอง ในเยอรมนีตะวันออกมีการบัญญัติ ประมวลกฎหมายเอกชน หรือ ZGB( Zivilgesetzbuch) ขึ้นแทนที่ประมวลกฎหมายแพ่ง (BGB)ในปี ๑๙๗๕ ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีกฎหมายแรงงานที่มีผลบังคับใช้ในปี ๑๙๖๑ และกฎหมายครอบครัวที่มีผลใช้บังคับในปี ๑๙๖๕ ออกมาก่อหน้า ZGB แล้ว สำหรับเยอรมนีตะวันออกการเกิดขึ้นของประมวลกฎหมายเอกชนแสดงออกถึงการผละตัวออกจากความเป็นหนึ่งเดียวของกฎหมายที่มีกับสหพันธรัฐเยอรมนี ประมวลกฎหมายเอกชนได้เปลี่ยนเนื้อหาไปสู่แนวความคิดสังคมนิยม โดยประมวลกฎหมายเอกชนได้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐในการกำหนดทิศทางของสังคมเพื่อเป้าหมายในทางสังคมนิยม

ประมวลกฎหมายเอกชน ประกอบด้วยบทบัญญัติทั้งสิ้นเพียง ๔๘๐ มาตรา น้อยกว่า BGB ห้าเท่า โดยมีเนื้อหาในการจัดดระบบกฎหมายใหม่ซึ่งแบ่งแยกประชาชนออกจากงานเพื่อส่วนร่วม และในส่วนหลักการทั่วไปของ BGB ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง ( หลักการทั่วไปของ BGB แสดงออกอย่างชัดเจนถึง หลักการแห่งเสรีภาพซึ่งขัดกับหลักสังคมนิยม)วิชาการต่างๆต้องถูกปรับให้สอดคล้องกับข้อเท็จริงทางสังคมแบบสังคมนิยม ซึ่งกฎเกณฑ์ของระบอบสังคมนิยมมีคุณค่าและสถานะเหนือกว่า สิทธิของปัจเจกบุคคล ซึ่งในระบบสังคมนิยมไม่มีการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแต่อย่างใด

ตัวอย่างเช่น ในคำปรารภของประมวลกฎหมายเอกชน กล่าวว่า "เป้าหมายของประมวลกฎหมายนี้ คือ การสร้างสังคมแบบสังคมนิยม" "ประชาชน และส่วนงาน (คอมมูน) มีความรับผิดชอบและหน้าที่ต่อสังคม" นอกจากนี้แนวความคิดพื้นฐานของประมวลกฎหมายเอกชนยังอ้างอิงถึงความคิด อุดมการณ์ของรัฐแบบมากซ์และเลนิน โดยในมาตรา ๖ ของประมวลกฎหมายเอกชนกล่าวว่า สิทธิและหน้าที่ของเอกชนในทางทางแพ่งถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์แบบสังคมนิยม ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของอำนาจแห่งชนผู้ใช้แรงงาน กรรมสิทธิ์รวม และเศรษฐกิจประชาคมโดยรัฐสังคมนิยม

.....................

ระบบการเมืองกับกฎหมายเอกชนเยอรมนี ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจในประเด็นเกี่ยวกับ หน้าที่ในการปกป้องสังคมของกฎหมายเอกชน กฎหมายเอกชนกับรัฐธรรมนูญเยอรมนี และกฎหมายเอกชนกับสหภาพยุโรป ซึ่งอาจารย์จะได้นำเสนอใน ระบบการเมืองกับกฎหมายเอกชนเยอรมนี (๒) ต่อไป

การกระทำความผิดอาญาในกฎหมายอาญาเยอรมนี

1.การกระทำผิดอาญา ( Straftat ) กับ การกระทำผิดกฏเกณฑ์ ( Ordnungswidrigkeiten )กฎหมายเยอรมนีแบ่งแยก การละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย (Normverstoessen)ออกเป็นสองชนิด คือ การกระทำความผิดอาญา(Straftat) และ การกระทำผิดกฎเกณฑ์ (Ordnungswidirgkeiten)ในกรณีการกระทำผิดกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น การทำผิดกฎจราจร การขับรถเร็วเกินกำหนด การจอดรถผิดที่ หลายๆกรณีเป็นเพียง การกระทำผิดกฎเกณฑ์ที่มีขึ้นเพื่อความสะดวกในการปกครอง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการละเมิดบทบัญญัติของกฎหมายแต่มิใช่การกระทำผิดอาญา การกระทำผิดกฎเกณฑ์โดยสภาพมีผลกระทบต่อสังคมไม่มากนัก ในขณะที่ การกระทำความผิดอาญา มีผลกระทบต่อความสงบสุขของสังคมมากกว่า( กรณีดังกล่าว ทำให้แยก ความผิดและโทษทางอาญา ออกจาก มาตรการบังคับในทางปกครอง หรือ สภาพบังคับทางกฎหมายแพ่ง)

โดยสรุปความแตกต่างของ การกระทำผิดอาญา กับ การกระทำผิดกฎเกณฑ์ อาจแบ่งได้ดังนี้
๑. การกระทำผิดอาญา มีผลกระทบต่อสังคมมาก ในขณะที่การกระทำผิดกฎเกณฑ์ มีผลกระทบต่อสังคมไม่มาก (กรณีนี้จะเห็นว่า กฎหมายมีความเกี่ยวพันกับคุณค่าทางสังคม ในกรณีการบัญญัติกฎหมายต้องมีการประเมินก่อนเสมอว่า พฤติกรรมของประชาชนที่กฎหมายต้องการเข้าไปควบคุมนั้น มีผลกระทบต่อสังคมมากเพียงใด )

๒.การกระทำผิดอาญาก่อให้เกิดการลงโทษ ในขณะที่การกระทำผิดกฎเกณฑ์ก่อให้เกิดการปรับเงิน ( มิใช่โทษปรับทางอาญา )เพื่อตักเตือนให้ผู้กระทำผิดกฎเกณฑ์กลับมาเคารพกฎหมายโดยมิได้มุ่งลงโทษ

๓.สภาพบังคับของกฎหมาย (โทษ) ในกรณีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นผ่านคำพิพากษา ในขณะสภาพบังคับของกฎหมายในกรณีการกระทำผิดกฎเกณฑ์เกิดขึ้นผ่านการบังคับการของฝ่ายบริหาร เช่น หน่วยงานราชการ หน่วยงานทางปกครอง

2.ข้อความคิดว่าด้วย "การกระทำ" ในมุมมองของกฎหมายอาญา

การลงโทษอาญา คือ การตอบโต้ การกระทำ ที่ละเมิดต่อกฎหมาย ดังนั้นปัญหาที่ต้องพิจารณาเบื้องต้น คือ ความหมายของ "การกระทำ" ซึ่งในกฎหมายอาญาเยอรมนี มีคำอธิบายเกี่ยวกับ "การกระทำ" อยู่ ๔ คำอธิบาย ดังนี้

๑.คำอธิบายแบบ ผลกำหนด(Die kausale Handlundslehre) Liszt และ Beiling อธิบายว่า การกระทำ หมายถึง ความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกซึ่งมีที่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ คำอธิบายนี้ มุ่งเน้น ลักษณะที่ปรากฏออกมาภายนอกของการกระทำ ( หากเทียบเคียงกฎหมายอาญาไทย คำอธิบายนี้ มุ่งเน้นไปที่ องค์ประกอบภายนอก )

๒.คำอธิบายแบบ เจตจำนงกำหนด (Die finale Handlungslehre)Welzel และ Hirch อธิบายว่า การกระทำ หมายถึง พฤติกรรมของมุนษย์เพื่อหวังผลบางประการโดยมีเจตจำนงค์เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม คำอธิบายนี้มุ่งเน้น ลักษณะที่ปรากฎออกมาภายนอกของการกระทำ และ เจตจำนงค์ที่อยู่ภายใน ( หากเทียบเคียงกฎหมายอาญาไทย คำอธิบายนี้ มุ่งเน้นไปที่ องค์ประกอบภายนอก แล องค์ประกอบภายใน เช่น เจตนา ประมาท)

๓.คำอธิบายแบบ บุคคลิกกำหนด (Die personale Handlungslehre) Roxin อธิบายว่า การกระทำ หมายถึง การแสดงออกซึ่งบุคคลิกภาพอันเป็นเรื่องของความคิดและจิตใจของมนุษย์

๔.คำอธิบายแบบ สังคมกำหนด (Die soziale Handlungslehre)Jescheck และ Wessels อธิบายว่า การกระทำ หมายถึง พฤติกรรมที่มีผลกระทบสำคัญต่อสังคมอันมีที่มาจากเจตจำนงค์ของมนุษย์

ในอดีต คำอธิบายที่มีอิทธิผล คือ พวก ผลกำหนด แต่ปัจจุบัน คำอธิบายที่มีอิทธิพล คือ คำอธิบายของพวกเจตจำนงค์กำหนด คำอธิบายทั้งสองมีผลกระทบสำคัญ ต่อการวางโครงสร้างความรับผิดทางอาญา (กรณีดังกล่าว ศึกษาเพิ่มเติมได้ ใน คำอธิบายกฎหมายอาญาของ ศ.ดร.คณิต ณ นคร)

นอกจากนี้ การพิจารณาว่า พฤติกรรมใดของมนุษย์ เป็นการกระทำ ในความหมายของกฎหมายอาญา นั้น ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณา อีกสองประการ คือ

๑.พฤติกรรมของมนุษย์ ได้ปรากฏออกมาหรือไม่ กรณีดังกล่าว นำไปสู่การแบ่งประเภทของการกระทำ ออกเป็น การกระทำ และการละเว้นกระทำ ซึ่งทั้งสองกรณี ถือเป็นการกระทำในความหมายของกฎหมายอาญา

๒.พฤติกรรมของมนุษย์มีที่มาจากเจตจำนงค์ของมนุษย์หรือไม่ กรณีดังกล่าว นำไปสู่คำอธืบายที่ว่า การกระตุกของกล้ามเนื้อ การละเมอ การเคลื่อนไหวขณะหลับ ซึ่งไม่ได้เกิดจากเจตจำนงค์ของมนุษย์ มิใช่ การกระทำ ในความหมายของกฎหมายอาญาแต่อย่างใด

3.องค์ประกอบสามประการของการกระทำความผิดอาญา (Die drei Elemente des Verbrechensbegriffs )การกระทำความผิดอาญาจะเกิดขึ้น เมื่อองค์ประกอบความผิดที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญาถูกทำให้เป็นจริงผ่านการกระทำของมนุษย์ จนเกิดการผิดกฎหมายอาญาขึ้นโดยผู้กระทำไม่มีอำนาจกระทำ และผู้กระทำมีความชั่ว

จากถ้อยคำดังกล่าว การกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นผ่านองค์ประกอบสามประการ คือ

๑.การเกิดขึ้นจริงของการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญา (Die Verwirklichung eines strafgesetzlichen Tatbestandes) การกระทำของผู้กระทำต้องครบองค์ประกอบทางภาวะวิสัย (องค์ประกอบภายนอก) และองค์ประกอบทางอัตวิสัย (องค์ประกอบภายใน)ซึ่งได้แก่ เจตนา หรือ ประมาท และการกระทำดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการละเมิดต่อคุณธรรมทางกฎหมาย(Rechtsgut)ที่บทบัญญัติดังกล่าวมุ่งประสงค์คุ้มครอง กรณีดังกล่าวเป็นไปตาม "หลักมีความผิด มีโทษ โดยไม่มีกฎหมายไม่ได้" ( Gesetzlichkeitsprinzip,nullum crime nulla poena sine lege )
( กรณีนี้กฎหมายอาญาเยอรมนีโดยทั่วไป ไม่แตกต่างจากกฎหมายอาญาไทย)

๒.ความผิดกฎหมายของการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิด ( Die Rechtswidrigkeit der Tatbestandsverwirklichung ) การกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามข้อ ๑ คือ การกระทำที่ละเมิดต่อคุณธรรมทางกฎหมาย (Rechtsgut)ซึ่งโดยทั่วไป กฎเกณฑ์ทางกฎหมายไม่อาจยกเว้นความผิดได้ แต่มีข้อยกเว้นที่ กฎหมายอนุญาตให้มีการละเมิดคุณธรรมทางกฎหมายเนื่องจากการดังกล่าวเป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่เหนือกว่า กรณีดังกล่าว เรียกว่า เหตุที่มีอำนาจกระทำ ( Rechtfertigungsgrund) (ในกรณีกฎหมายไทย เช่น การป้องกัน )

๓.ความชั่ว (Schuld) เมื่อเกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญาเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่มีอำนาจกระทำ สิ่งที่ต้องพิจารณาในลำดับต่อมา คือ ผู้กระทำมีความชั่วหรือไม่ กรณีนี้ หมายความว่า ผู้กระทำสมควรถูกตำหนิจากสังคมหรือไม่ ในกรณีที่ผู้กระทำไม่อาจรับรู้ถึงการกระทำของตนว่าผิดถูกอย่างไร ผู้กระทำความผิดก็ไม่มีเหตุที่บุคคลอื่นสมควรตำหนิ กฎหมายจึงไม่ลงโทษเพราะขาดความชั่วนั่นเอง
(กรณีในกฎหมายไทย เช่น ความผิดอาญาที่กระทำโดยเด็กหรือเยาวชน)

( องค์ประกอบทั้งสามประการ มีที่มาทางทฤษฎีที่น่าสนใจ เป็นระบบระเบียบ และแสดงออกถึงวิธีคิดในทางกฎหมายที่ดีเยี่ยม ซึ่งอาจารย์จะหาโอกาสเขียนถึงต่อไป)

ในทางทฤษฎี มีนักวิชาการในเยอรมนีได้ถกเถียงและเสนอว่าในองค์ประกอบที่ ๑ และ ๒ น่าจะจับมารวมพิจารณากัน และลดองค์ประกอบลงเหลือสององค์ประกอบ กรณีดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า องค์ประกอบของการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา
( Gesamtunrechtstatbestand)

4.การกระทำผิด และรูปแบบของการกระทำผิดอาญา(Das Unrecht und die Erscheinungsformen der Straftat)การกระทำผิดอาญาได้ก่อให้เกิดการกระทำผิดเกิดขึ้น การกระทำผิดดังกล่าวมีองค์ประกอบสองประการ คือ การละเมิดคุณธรรมทางกฎหมาย ( Rechtsgut) จนเป็นผลสำเร็จ ( Erfolgs- หรือ Geschehensunwert) และ การกระทำผิดดังกล่าวได้แสดงออกถึงเจตจำนงค์ของผู้กระทำที่ควรถูกลงโทษ ( Handlungs- หรือ Motivationsunwert) ด้วยองค์ประกอบ ของการกระทำผิดดังกล่าว อาจแยกการกระทำผิดอาญาออกได้เป็น สามกรณี คือ

๑.การกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา (Das vollendete Vorsatzdelikt) การกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั้งสองประการ ทั้ง การละเมิดคุณธรรมทางกฎหมายจนเป็นผลสำเร็จ และการแสดงออกถึงเจตจำนงค์ของผู้กระทำที่ควรถูกลงโทษ

๒.การพยายามกระทำความผิดอาญา (Das versuchte Delikt)กรณีดังกล่าว ไม่มี การละเมิดคุณธรรมทางกฎหมาย แต่การพยายามกระทำความผิดอาญาเป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงค์ของผู้กระทำที่ควรถูกลงโทษ

๓.การกระทำความผิดอาญาโดยประมาท (Das Fahrlaessigkeitsdelikt) กรณีดังกล่าว มีการละเมิดคุณธรรมทางกฎหมายเกิดขึ้น แต่การกระทำความผิดอาญาโดยประมาทไม่ได้แสดงออกถึงเจตน์จำนงค์ของผู้กระทำที่ควรถูกลงโทษ ส่งผลให้การลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาโดยประมาทมีโทษเบากว่ากรณี การกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาและการพยายามกระทำความผิดอาญา

..............

กฎหมายอาญาเยอรมนี มีประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ อีก อาทิ คุณธรรมทางกฎหมาย คืออะไร ความชั่วคืออะไร ซึ่งอาจารย์จะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป
( บทความนี้ ผู้เขียนแปลจาก Vorlesungsskript : Strafrecht fur auslaendische Studierende ของ Dr.Peter Kasiske)

เกร็ดในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี ต่อกรณีบทบาทสื่อไทย

บทบาทของสื่อไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างใหญ่หลวงในภาวะบ้านเมืองที่เกิดวิกฤตไม่หยุดหย่อน จนผู้เขียนเห็นว่า “ ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากภาวะ วิกฤตที่สุด ( Chaos ) ของสื่อไทย” ซึ่งภาวะวิกฤตดังกล่าวมีสาเหตุมาจากบทบาทหน้าที่ของสื่อเอง ผู้ให้สัมภาษณ์ กระทั่งบทบาทที่ผิดพลาดของรัฐในการควบคุมสื่อ กรณีที่ผู้เขียนพยายามหยิบยกประเด็นในระบบกฎหมายสื่อของเยอรมนี ( Medienrecht) ก็เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โปรดพิจารณาทบทวนบทบาทของตนและเข้าทำการคลี่คลาย Chaos สื่อ เพื่อคลีคลาย Chaos ทางการเมืองได้ต่อไป

กรณีความผิดฐานเผยแพร่ความคิดเห็นทางการเมืองที่เป็นอันตรายต่อระบบประชาธิปไตย
ประเทศสหพันธรัฐเยอรมนีเป็นประเทศที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้สื่อเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดขึ้นของพรรคนาซีสมัย อดอฟ ฮิทเล่อ เรืองอำนาจจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการใช้กลยุทธ์โฆษณาประชาสัมพันธ์นโยบายชาตินิยมสุดขั้วผ่านทางสื่อที่มีอยู่ ณ ขณะนั้น การตระหนักถึงความร้ายแรงของการใช้สื่อจนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้หล่อหลอมหลักกฎหมายอาญาของเยอรมนีไว้ในมาตรา ๘๖ ของประมวลกฎหมายอาญา ( Strafgeseztbuch ) ในฐานความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่วาระทางการเมืองขององค์กรทางการเมืองที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ( Verbreiten von Propagandamitteln verfassungwurdriger Organisationen) เช่น วาระทางการเมืองของพรรคนาซีเยอรมนีเป็นต้น ฐานความผิดดังกล่าวแสดงออกอย่างชัดเจนว่า สื่อไม่ได้เป็นช่องทางที่เปิดกว้างที่ใครก็สามารถแสดงความคิดความเห็นได้ทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขต
ปัญหาที่ต้องพิจารณาตามมา คือ ขอบเขตในการแสดงความคิดเห็นนั้นดำรงอยู่ในแต่ละประเทศแต่ละสังคมอย่างไร ต่อกรณีความผิดอาญาตามมาตรา ๘๖ ของประมวลกฎหมายอาญาเยอรมันนั้น หากใช้มุมมองในเชิงสังคมวิทยากฎหมายจะพบว่า ฐานความผิดดังกล่าวเกิดขึ้น จากประสบการณ์ของสังคมเยอรมนีที่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผลของการใช้สื่อเพื่อโฆษณาความคิดความเชื่อผิดๆของพรรคนาซี นั้นส่งผลกระทบต่อความเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด ด้วยเหตุนี้ความผิดฐานดังกล่าวจึงถูกบัญญัติไว้ในหมวดความผิดว่าด้วย “การกระทำอันเป็นผลกระทบต่อนิติรัฐและประชาธิปไตย” ( Gefaerdung des demokratischen Rechtsstaates) อันเป็นความผิดที่มีลักษณะเฉพาะตัวในสังคมเยอรมันที่ไม่มีเหมือนชาติอื่น เฉกเช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีการบัญญัติความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ก็ด้วยเหตุผลทางสังคมวิทยาและอุดมการณ์เฉพาะของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เป็นอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกที่สืบสายมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ดังนั้น งานทางนิติศาสตร์ของนักนิติศาสตร์และบรรดานักวิชาการไทยสายก้าวหน้าในความพยายามที่จะล้มล้างบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แท้จริงจึงหาใช่งานในทางนิติศาสตร์โดยแท้ไม่ แต่กลับเป็นงานในทางการเมืองในการเปลี่ยนความคิดความเชื่อของประชาชนที่ยืนอยู่บนอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เสียมากกว่า
หรือ กระทั่งความพยายามในการโจมตีล้มล้างองค์กรหรือสถาบันทางรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่ม คือ ข้อเท็จจริงที่สื่อต้องพิจารณาถึงบทบาทของตนในการที่จะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของการเผยแพร่อุดมการณ์ที่ขัดต่ออุดมการณ์ของประเทศ ในขณะเดียวกันบทบาทของรัฐในการเข้าไประงับยับยั้งการใช้สื่อเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ต่างๆที่ขัดต่ออุดมการณ์ของประเทศแท้จริงเป็นหน้าที่โดยชอบธรรมหาใช่การแทรกแซงสื่อแต่อย่างใด
กรณีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเยอรมนีมาตรา ๘๖ และความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากฎหมายได้ทำหน้าที่จัดวางบทบาทของสื่อต่อกรณีการกระทำที่เป็นอันตรายต่ออุดมการณ์ของประเทศ ดังนั้น สื่อจึงมีบทบาทเชิงรุกไปกระทำการ โดยการไม่เผยแพร่ความคิดใดที่ขัดต่ออุดมการณ์ของชาติ มิใช่ทำหน้าที่ผู้รายงานคำพูดของผู้ให้สัมภาษณ์ฝ่ายต่างๆโดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์และความถูกต้อง และในขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องรู้หน้าที่ของตน มิใช่ในฐานะผู้ร่วมรบในสงครามข่าวสาร หากแต่ผู้ดูแลรักษาอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในการเข้าไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อด้วยมาตรการทางกฎหมายที่ถูกต้องและได้สัดส่วน

บทบาทของสื่อสารมวลชนและของรัฐต่อ ความจริงแท้ของข้อมูล ที่เผยแพร่ผ่านสื่อ
ในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี สิทธิและเสรีภาพของสื่อต้องมีขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ( Informationsinteresse der Allgemeinheit : Public Informationsystem ) ข้อมูลสาธารณะที่สื่อนำเสนอจะเป็นเครื่องมือที่ประชาชนใช้ในการกำหนดการตัดสินของตนในหลายๆด้านมิใช่เพียงแต่เพียงในทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากข้อมูลสาธารณะเป็นข้อมูลที่ไม่มีคุณภาพการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
มาตรา ๕ วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญเยอรมนี ได้บัญญัติรับรองสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น (Meinungsfreiheit,Freedom of Speech) ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของประชาชนนั้นนอกจากจะถือเป็นสิทธิมนุษยชน ( Menschenwuerde : Humanright) แล้วยังถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มีความเกี่ยวโยงกับสิทธิและเสรีภาพของสื่อ เพราะข้อมูลสาธารณะที่ถ่ายทอดผ่านสื่อย่อมต้องมีที่มาจากพูดคุย แสดงความคิดเห็นของประชาชน ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้ที่เป็นแหล่งข่าว
ในระบบกฎหมายสื่อเยอรมนี สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนประกอบไปด้วย สิทธิในการสร้างความคิดเห็นของตนเอง ( Meinungbildung ) และ การแสดงความคิดเห็นออกมาให้ปรากฏ ( Meinungsaeusserung) คุณค่าของคำพูดไม่ใช่สิ่งสำคัญ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่างต้องได้รับการปกป้อง อย่างไรก็ตามพรมแดนแห่งสิทธิที่ได้รับการคุ้มครอง (Schutzbereich ,sphere of right) ไม่รวมไปถึง การพูดโกหก ต่อสื่อสาธารณะ
กรณีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี ( Bundesverfassungsgericht ) ที่สำคัญ อาทิ คดี Sterbehilfe , คดี Auschwitzluege และคดี Bayer-Aktionaere โดยศาลรัฐธรรมนูญฯได้วางหลักการไว้ว่า “ ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง หรือ ข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่อยู่ในพรมแดนแห่งสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ”
เมื่อพิจารณาการแปลความของศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐเยอรมนี อาจนำไปสู่ข้อสรุปว่า “ การแสดงความคิดเห็นหรือข้อมูลของประชาชนไม่ว่าจะในสื่อสาธารณะหรือไม่ จะได้รับการคุ้มครองก็ต่อเมื่อ ความคิดเห็นนั้นเป็นความจริง ไม่มีการโกหก” ดังนั้นบทบาทของสื่อที่ถูกต้องจะต้องคัดกรองข้อมูลและชี้ขาดกับสังคมผ่านการรายงานข่าวสารว่า ข้อมูลความจริงเป็นเช่นใด มิเช่นนั้น ผลร้ายแรงที่ตามมา คือ ผลประโยชน์ของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ( Informationsinteresse der Allgemeinheit: Public Informationsystem) จะถูกกระทบกระเทือนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบนำไปสู่การตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตนในสังคมตลอดจนอุดมการณ์ทางการเมืองที่ผิดพลาด และความวุ่นวายทางการเมืองก็จะตามไม่หยุดหย่อนจากความคิดความเชื่อที่ผิดของประชาชนที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ “การโกหก” ซึ่งผิดทั้ง ศีลธรรม ศาสนธรรม และหลักการที่ชอบธรรมแห่งกฎหมาย

ท้ายที่สุด ผู้เขียนเห็นว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆผ่านสื่อเป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่ประชาชนสามารถกระทำได้ แต่การแสดงความคิดความเห็น ต้องไม่กระทบต่ออุดมการณ์ของประเทศชาติ ซึ่งมีกฎหมายคอยปกป้องรักษาอุดมการณ์เหล่านั้นอยู่ ในขณะเดียวกัน การแสดงความคิดเห็นต้องยืนอยู่บนฐานความจริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อข้อมูลสาธารณะที่มีความเที่ยงแท้แน่นอน และประชาชนสามารถนำไปใช้ตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิตของตนได้
สื่อสารมวลชน รัฐ ประชาชน จะต้องตระหนักถึงความสำคัญของระบบข้อมูลข่าวสารสาธารณะให้ดี เพราะในยุคข้อมูลข่าวสารครอบโลก ข้อมูลเป็นตัวกำหนดความคิด ทิศทาง การขับเคลื่อนของสังคม โดยเฉพาะสื่อ มิใช่จะนั่งคำนึงถึงแต่ อัตราการโฆษณา และปากท้องของตัวเอง แม้ว่าสังคมจะเป็นที่ทางให้ทุกคนได้ทำมาหากิน แต่สำหรับสื่อ การคำนึงถึงแต่การหากินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม มิเช่นนั้น พระสงฆ์อาจจะออกมากบอกได้เช่นกันว่า อาตมาบิณทบาตรหากินไปวันๆ หากเป็นเช่นนั้น ใครกันจะสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ลูกหลานเรา และโลกของเราคงไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นโลกของ คน ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ ทำมาหากิน เท่านั้น