คำถามที่ว่าความผิดอาญาจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ในเบื้องต้นจำต้องพิจารณาการกระทำที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับองค์ประกอบภายนอกความผิดอาญา และข้อพิจารณาในองค์ประกอบภายนอก เป็นหลักการที่มุ่งเน้นพิจารณาการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่ามีความผิดตามที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้หรือไม่ ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวจะดำเนินไปบนการค้นหาถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ คือ การกระทำ และผล คือ ผลของการกระทำ (Kausalitaet)
ในเยอรมนีการพัฒนาหลักการว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล(ซึ่งมีที่มาจากการกระทำจริงๆของบุคคลในสังคม) ยืนอยู่บนทฤษฎีเงื่อนไข (Bedingungstheorie : Aequivalenztheorie) มาอย่างยาวนาน โดยทฤษฎีนี้กำหนดโดย Julius Glaser นักกฎหมายชาวออสเตรีย และผู้พิพากษาศาลสูงสุดแห่งอาณาจักรไรช์ ชื่อ Maximilian von Buri เป็นผู้นำมาใช้ในเยอรมัน อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็มีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ ซึ่งนำไปสู่การสร้างทฤษฎีอื่นๆ อาทิ ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม ( Aeaequanztheorie) ทฤษฎีเหตุที่สำคัญ ( Relavanztheorie) และ ทฤษฎีความรับผิดทางภาวะวิสัย (Die Lehre von der objektiven Zurechnung)แต่อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ก็ยังไม่ได้สูญหายไปไหนและยังคงเป็นหลักการที่ผู้ศึกษากฎหมายในเยอรมนียังคงเล่าเรียนอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาว่า การกระทำ ของผู้กระทำ จะมีผลต่อ ผลของการกระทำ หรือไม่ มีประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังนี้
1.ความผิดอาญาที่ต้องการผล (Erfolgsdelikt)กับความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผล ( schlichten Taetigkeitsdelikt)ในกฎหมายอาญาภาคความผิดสามารถจำแนกความผิดอาญาออกได้เป็น ความผิดอาญาที่ต้องการผล และความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผล ในความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผลนั้นการกระทำใดจะครบองค์ประกอบก็ต่อเมื่อผู้กระทำความผิดได้กระทำการครบองค์ประกอบของการกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การเบิกความเท็จในศาล เป็นความผิดเมื่อมีการกล่าวข้อความในการพิจารณาคดีอันเป็นเท็จ แต่ในกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผล นอกจากผู้กระทำจะต้องกระทำการครบองค์ประกอบของการกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว การกระทำดังกล่าวต้องเป็นสาเหตุให้เกิดผลของการกระทำขึ้นในโลกภายนอก ผลของการกระทำดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันถึง การละเมิดต่อคุณธรรมทางกฎหมาย (Rechtsgut)นั่นเอง
จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงเกิดความจำเป็นในกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผลในอันที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลของการกระทำ(Kausalitaet)เกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะตัดสินต่อไปว่าด้วยผลของการะกระทำดังกล่าว ผู้กระทำมีส่วนในการกระทำความผิดอาญาและต้องรับโทษหรือไม่ อย่างไร ดังนั้นการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีความผิดอาญาที่ต้องการผล ส่วนในกรณีความผิดอาญาที่ไม่ต้องการผลไม่มีความจำเป็นในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแต่ประการใด
2.ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ (Die Kausalitaet der Handlung fuer den Erfolg) กับทฤษฎีเงื่อนไข ( Bedingungstheorie) การจะพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลที่ครบองค์ประกอบตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญาหรือไม่ ต้องมีการพิจารณา ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผล ระหว่าง การกระทำ และ ผลที่เกิดขึ้น (Kausalitaet)นั่นเอง ซึ่งในเยอรมนี ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล (Kausalitaet)แต่เดิมนิยมอธิบายโดย ทฤษฎีเงื่อนไข (Bedinungstheorie: Aequivalenztheorie)
ทฤษฎีเงื่อนไข (Bedingungstheorie: Aequivalenztheorie) อธิบายว่า "เหตุ ในความหมายของกฎหมายอาญา คือ เงื่อนไขทุกเงื่อนไข ที่เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว เงื่อนไขดังกล่าวได้ก่อ ผลที่เป็นรูปธรรม ให้เกิดขึ้น" หรืออาจกล่าวว่า "การกระทำทุกๆอันย่อมถือเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล ถ้าหากว่าการกระทำนั้นไม่มีอยู่แล้ว ผลนั้นๆก็จะไม่เกิดขึ้น (Conditio sine qua non)
จากนิยามดังกล่าว หากปรากฎว่า เหตุ คือ การกระทำที่ทำให้เกิดผลมีเพียงประการเดียวก็ไม่ยากแก่การพิจารณา เช่น นาย เอ ใช้มีดแทงนายบี จนนายบีถึงแก่ความตาย กรณีนี้ การกระทำของนายเอ คือ การแทงย่อมเป็นเหตุอันก่อให้เกิดผล คือ ความตายของนายบี หรืออาจกล่าวได้ว่า การกระทำของนายเอเมื่อนำมาพิจารณาในฐานะเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว เงื่อนไขดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม
ทฤษฎีเงื่อนไข(Bedingungstheorie: Aequivalenztheorie)ได้ให้น้ำหนักกับเหตุต่างๆที่นำไปสู่ผลอย่างเท่าเทียมกันอย่างไรก็ตามทฤษฎีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่า ในกรณีที่สมมุติว่าการกระทำใดเป็นการกระทำที่ไม่สำเร็จ แต่ผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังคงเกิดขึ้น กรณีแสดงว่าการกระทำนั้นมิใช่เหตุที่ทำให้เกิดผล ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อการกระทำดังกล่าวไม่ถูกนำมาพิจารณาในฐานะเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมก็ยังเกิดขึ้นหรือไม่เสียไปอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น นายเอ ผลักนาย บี จนนายบีตกจากรถไฟและถูกรถไฟทับตาย
ถ้านายเอ ไม่ผลักนายบี นายบีก็คงไม่ตกจากรถไฟและถูกรถไฟทับตาย การกระทำของนายเอเมื่อนำมาพิจารณาเป็นเงื่อนไขเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมคือความตายของนายบีย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้ การกระทำของนายเอเป็นเหตุก่อให้เกิดผล
2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)
ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)
นายเอใช้มีดแทงนายบีซึ่งป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งและน่าจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง
ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ผล คือ ความตายของนายบี มีโอกาสจะเกิดขึ้นด้วย โรคมะเร็ง ปัญหาคือเมื่อนายบีจะต้องตายด้วยโรคมะเร็งอยู่แล้ว การกระทำของนายเอจะถือเป็นเหตุที่ทำให้นายบีตายด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่มีการแทง นายบีก็คงจะต้องตายด้วยโรคมะเร็งเป็นแน่แท้ กรณีหมายความว่า การกระทำของนายเอเมื่อไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผล คือความตายของนายบีย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้วจากโรคมะเร็ง ซึ่งหากตีความตามตรรกะแห่งทฤษฎีเงื่อนไขอย่างตรงๆ การกระทำของนายเอ ย่อมไม่เป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล นายเอจึงไม่ต้องรับผิด
อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้น หากมุ่งเน้นพิจารณาที่การตายของนายบีด้วยมีด จะเห็นได้ว่า เมื่อไม่นำการกระทำของนายเอ คือ การแทงด้วยมีดมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลของการกระทำ คือ การตายของนายบีด้วยมีดย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้น กรณีนี้ การกระทำของนายเอย่อมเป็นเหตุให้เกิดผล
(ผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้ไม่มีความจำเป็นต้องแยกการพิจารณาออกต่างหาก เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแบบสมมุติ (Hyphothetische Kausalitaet)เนื่องจาก ๑.หากพิจารณาผล คือ ความตายด้วยมีด ซึ่งลักษณะของศพและบาดแผลย่อมปรากฏชัดว่ามิใชการตายด้วยโรคมะเร็ง ย่อมตัดเหตุคือการตายด้วยโรคมะเร็งออกโดยไม่ต้องนำมาพิจารณาก็ได้ ๒.ณ ขณะก่อนที่จะมีการแทงเกิดขึ้นชีวิตของนายบียังคงมีอยู่ แม้ว่านายบีจะเป็นโรคมะเร็งก็ตาม และกรณีนี้ หากพิจารณาต่อไปว่ามนุษย์ทุกคนต้องตายไม่ด้วยโรคใดก็โรคหนึ่ง แต่สาระสำคัญคือ ชีวิตที่ยังมีอยู่ก่อนหน้าที่ความตายด้วยโรคจะเกิดขึ้น การนำโรคแม้ว่าอาจก่อให้เกิดความตายได้ในอีกไม่นานมาพิจารณาร่วม จึงไม่น่าจะชอบด้วยเหตุผลของเรื่อง)
2.2 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบแทรกแซง (Abgebrochene bzw.ueberholende Kausalitaet)
ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบแทรกแซง (Abgebrochene bzw.ueberholende Kausalitaet)
นายเอผลักนายซีซึ่งว่ายน้ำไม่เป็นลงไปในบ่อน้ำลึก ซึ่งสามารถทำให้นายซีจมน้ำตายได้ ก่อนที่นายซีจะจมน้ำตาย นายบีได้ใช้ปืนยิงไปที่นายซีจนนายซีเสียชีวิต
ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำ คือ นายเอผลักนายซี และนายบียิงนายซี ๒.การกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังยังผลโดยไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำแรก หมายความว่า ความตายของนายซีมีสาเหตุหนึ่งเดียวจากการกระทำโดยการยิงของนายบี แม้ว่าหากนายบีไม่ยิงนายซี นายซีอาจจะจมน้ำตายเนื่องจากการผลักของนายเอก็ตาม ๓.กรณีนี้อาจขยายความเพิ่มเติมว่า ผลจากการกระทำของนายบี ได้เข้ามาแทรกแซง ผลจากการกระทำของนายเอ ถ้าจะกล่าวให้ง่ายเข้า ความตายจากการยิง ได้วิ่งแซง ความตายจากการจมน้ำ นั่นเอง ดังนั้นผลของผลของการกระทำที่เกิดขึ้นจริงและต้องนำมาพิจารณา คือ ความตายของนายซีจากการถูกยิง
กรณีนี้ เมื่อการกระทำของนายเอไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรม คือ ความตายของนายซีโดยการถูกยิง ก็ยังคงเกิดขึ้นโดยไม่เสียไป กรณีดังกล่าว การกระทำของนายเอจึงไม่ได้เป็นเหตุทำให้นายซีตายด้วยการถูกยิง แต่นายเอมีความผิดฐานพยายามฆ่าเนื่องจากแม้จะการกระทำของนายเอจะขาดซึ่งองค์ประกอบภายนอกแต่ก็ครบองค์ประกอบภายใน
2.3 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)
ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)
นายเอและนายบีต่างใช้มีดแทงนายซีพร้อมๆกัน การแทงของทั้งคู่เป็นเหตุให้นายซีเสียเลือดอย่างมาก จนนายซีถึงแก่ความตาย
ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำ คือ นายเอแทงนายซี และนายบีแทงนายซี ๒.การกระทำทั้งสองไม่ขึ้นตรงต่อกันและกัน (ต่างคนต่างทำ) ๓.การกระทำทั้งคู่ได้ร่วมกันก่อให้เกิดผล หมายความว่า หากขาดการกระทำใดกระทำหนึ่ง ผล คือ ความตายของนายซี ก็จะไม่เกิดขึ้น (กรณีนี้หากพิจารณาตามตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไขจะเห็นว่า เมื่อ ไม่นำการกระทำของนายเอ หรือ นายบีขึ้นเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลแล้ว ผลของการกระทำ คือ ความตายของนายซีก็จะไม่เกิดขึ้น แสดงว่า การกระทำของนายเอหรือนายบีเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล )
ในทางตำราอธิบายว่า เมื่อไม่นำการกระทำของนายเอมาพิจารณา นายซีก็ไม่น่าจะถึงแก่ความตาย เพราะการกระทำของนายบีแต่ผู้เดียวไม่อาจนำไปสู่ความตายได้ กรณีนี้ในทางกลับกันใช้กับกรณีที่ไม่นำการกระทำของนายบีมาเป็นเงื่อนไขพิจารณาด้วย ดังนั้น การกระทำของนายเอและนายบีจึงเป็นเหตุร่วมกันที่ก่อให้เกิดผล
2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet)
ตัวอย่างเพื่อพิจารณาสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet)
นายเอและนายบีต่างก็วางยานายซี โดยที่การกระทำของทั้งคู่ไม่ขึ้นตรงต่อกันและกัน ( ต่างคนต่างทำ )โดยทั้งคู่ต่างวางยาพิษในกาแฟของนายซีในปริมาณที่ทำให้นายซีถึงแก่ความตายได้ นายซีดื่มกาแฟและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ข้อสังเกตในกรณีนี้ คือ ๑.มีการกระทำสองการกระทำที่ไม่ขึ้นต่อกัน ๒.การกระทำแต่การกระทำสามารถก่อให้เกิดผล คือ ความตายของนายซี ได้ ๓.เมื่อพิจารณาตามตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไข การกระทำของนายเอ หรือ นายบี เมื่อไม่ยกเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรมย่อมเกิดขึ้นหรือไม่เสียไป ผลของการพิจารณาตามตรรกะดังกล่าว ทำให้การกระทำของนายเอ หรือ นายบีไม่เป็นสาเหตุให้เกิดผล (กรณีดังกล่าวแสดงออกถึงข้อจำกัดทางตรรกะของทฤษฎีเงื่อนไขอย่างชัดเจน)
(อย่างไรก็ตามได้มีการพัฒนาหลักการเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือกขึ้น โดยทฤษฎีนี่มีหลักการว่า ในการกระทำสองการกระทำที่แต่ละการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่างก็สามารถก่อให้เกิดผลได้ การกระทำทั้งสองย่อมเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล)
การพัฒนาหลักการ conditio sine qua non formel ได้ก่อให้เกิดการตีความในกรณีนี้ คือ "เงื่อนไขทั้งหลายที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาในลักษณะที่เป็นทางเลือก (Alternative Kausalitaet)(มิใช่พิจารณาในลักษณะร่วมกัน แบบ Kumulative Kausalitaet) โดยที่ไม่ทำให้ผลที่เป็นรูปธรรมเสียไป เงื่อนไขดังกล่าวย่อมเป็นสาเหตุทำให้เกิดผล"
กรณีนี้อาจอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า ๑.มีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดผลสองเงื่อนไข ๒.เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งถูกเลือก(Alternative Kausalitaet)ขึ้นมาพิจารณา ๓.เมื่อการพิจารณาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เงื่อนไขดังกล่าวหากไม่มีอยู่ ผลของการกระทำย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้ เงื่อนไขดังกล่าวย่อมเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล
จะเห็นได้ว่า กรณีนี้มีความแตกต่างจากทฤษฎีเงื่อนไขตามปกติ คือ
๑.ในองค์ประกอบส่วนเหตุ พิจารณาการกระทำหลายการกระทำมีลักษณะเป็นAlternative Kausalitaet แต่ในกรณีทฤษฎีเงื่อนไขปกติ พิจารณาเหตุทุกเหตุ
๒.ในองค์ประกอบส่วนผล เงื่อนไขใดที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาแล้วผลที่เป็นรูปธรรมยังคงมีอยู่ เงื่อนไขนั้นเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล แต่ในกรณีทฤษฎีเงื่อนไขปกติ กล่าวว่า เงื่อนไขใดที่เมื่อไม่นำมาพิจารณาแล้วผลที่เป็นรูปธรรมยังคงมีอยู่ เงื่อนไขนั้นไม่เป็นนเหตุที่ก่อให้เกิดผล
2.5 คดี Lederspray ( BGHSt 37,106)
ทฤษฎีที่กล่าวแล้วในหัวข้อ 2.1-2.4 เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมตรรกะทางภาษาของทฤษฎีเงื่อนไขให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น กรณีนี้ผู้เขียนมีข้อสังเกตในแง่ทฤษฎีกฎหมายว่า นักกฎหมายพึงรำลึกไว้เสมอว่า ตรรกะทางภาษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่ง กฎเกณฑ์(Norm)เป็นสิ่งที่มีขอบเขตจำกัดในการอำนวยความยุติธรรมตามเป้าหมาย (Zweck)ที่แท้จริงของกฎหมาย
ซึ่งในบางครั้ง การบิดเบือนกฎหมายโดยการตีความผ่านตรรกะทางภาษาอ่านกลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนกฎหมายให้กลายให้เป็นข้อแก้ตัวที่แนบเนียน ซึ่งอาจปรากฏขึ้นในการต่อสู่คดี เฉกเช่นที่เกิดขึ้นในคดีในเยอรมนีที่ชื่อว่า Lederspray (BGHSt 37,106)
คดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก บริษัทผู้ผลิตน้ำยาซักผ้าได้กำหนดการผลิตสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาด ในการทดสอบผลิตภัณฑ์ปรากฏข้อสงสัยว่าสินค้าตัวใหม่มีสารพิษที่ทำอันตรายต่อปอด อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทจำนวน ๙ คนได้ลงคะแนนให้มีการวางจำหน่ายด้วยคะแนน ๗-๒ เสียง หลังจากวางจำหน่ายปรากฏว่ามีลูกค้าหลายรายได้รับอันตรายจากสินค้าดังกล่าว
คณะกรรมการทั้ง ๗ คนได้ต่อสู้คดี โดยให้เหตุผลว่า การลงคะแนนของตนไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดผล คือ อันตรายต่อร่างกาย เนื่องจาก หากขาดคะแนนของแต่ละคนไปหนึ่งเสียง อย่างไรเสียคะแนนที่เหลือ คือ จำนวน ๖ คะแนน ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้การวางจำหน่ายเกิดขึ้น ( กรณีนี้จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการทั้ง๗ ต่อสู้คดีโดยใช้ตรรกะทางภาษาของทฤษฎีเงื่อนไขที่ว่า "หากคะแนนเสียง ๑ เสียงไม่ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลที่เป็นรูปธรรมของการกระทำย่อมเกิดขึ้นหรือไม่เสียไป ดังนั้นเสียงหนึ่งเสียงของแต่ละคนจึงมิใช่เหตุที่ก่อให้เกิดผล ตนจึงไม่ต้องรับผิด" )
ในกรณีนี้ ศาลฎีกาเยอรมนี ตัดสินแก้ลำโดยให้เหตุผลว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก (Alternative Kausalitaet) แม้ว่าเสียงข้างมากจะไม่เสียไปหากกรรมการคนใดคนหนึ่งลงคะแนนเสียงเป็นอย่างอื่น ในทางกลับกันผลการลงมติอาจเสียไป หากกรรมการทั้งหมดลงคะแนนเสียงเป็นอย่างอื่น
กรณีนี้ในความเห็นของผู้เขียนเห็นว่า ศาลฎีกาเยอรมนีมองว่า คะแนนเสียงทุกคะแนนเสียงโดยตัวของมันเองไม่ขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงอื่น ต่างก็ก็สามารถเป็นทางเลือกที่ก่อให้เกิดการลงมติในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ ดังนั้นกรณีนี้ คะแนนเสียงหนึ่งคะแนนจึงมีลักษณะเป็นเหตุแบบทางเลือก ซึ่งตามตรรกะของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบทางเลือก นั้น อาจตัดสินว่า "หากคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนเสียงไม่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลแล้ว ผลที่เป็นรูปธรรมก็ยังคงเกิดขึ้น ดังนั้นคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนจึงเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผล
กรณีดังกล่าว หากสมมุติว่า มีการลงมติด้วยคะแนน ๕ ต่อ ๔ ก็จะเป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแบบร่วมกันก่อความผิด (Kumulative Kausalitaet)ซึ่งหากพิจารณาตามความสัมพันธ์นี้จะได้ผลการพิจารณาว่า "หากคะแนนหนึ่งคะแนนถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ผลของการลงมติก็ยังคงไม่เสียไป"กรณีดังกล่าวแสดงว่า เสียงหนึ่งเสียงเป็นสาเหตุทำให้เกิดผลที่เป๋นรูปธรรม
2.6 กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แจ้งชัด
ทฤษฎีเงื่อนไขมีข้อจำกัดในตัวเองเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความผิดอาญานั้นไม่แจ้งชัด
ตัวอย่างเช่น นายเอและนายบีต่างลงมือยิงนายซีในเวลาเดียวกัน กระสุนนัดหนึ่งถูกนายซีเข้าที่หัวใจ อีกนัดเข้าที่ศรีษะ นายซีเสียชีวิต โดยไม่อาจทราบได้ว่า กระสุนของใครก่อให้เกิดความตายก่อน
กรณีดังกล่าว หากสมมุติว่า กระสุนของนายเอถูกนายซีก่อน นายซีย่อมถึงแก่ความตายด้วยคมกระสุนของนายเอ ดังนั้นกระสุนของนายบีจึงเป็นยิงเข้าที่ศพ นายบีจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเท่านั้น กรณีเดียวกัน นายเอ อาจต่อสู้ว่า กระสุนของนายบีถูกนายซีก่อนกระสุนของตนได้เช่นกัน ซึ่งกรณีนี้ยากแก่การพิสูจน์เนื่องจากกระสุนปืนมีความเร็วมากจนไม่อาจทราบได้อย่างแจ้งชัด
จากปัญหาดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากหลัก in dubio pro reo หรือ หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย จะเห็นว่า กรณีนี้เกิดความไม่ชัดแจ้ง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ในสองทาง จึงไม่อาจทราบแน่ชัดว่าบุคคลใดก่อความตาย บุคคลใดยิงศพ กรณีอาจมีการลงโทษผิดคน จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย ดังนั้น นายเอและนายบีจึงถูกลงโทษฐานพยายามฆ่า
3.ข้อบกพร่องของทฤษฎีเงื่อนไขในการเอาผิดทางอาญา
ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในวงวิชาการกฎหมายเยอรมนีว่า ทฤษฎีเงื่อนไขยังมีข้อบกพร่องและไม่เพียงพอในการพิจารณาการกระทำของผู้ต้องหากับองค์ประกอบภายนอกเพื่อเอาผิดอาญา ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่ว่า ทฤษฎีเงื่อนไขพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆอย่างไร้ขอบเขต เช่น พ่อ แม่ ของจำเลยก็เป็นเหตุเนื่องจากให้กำเนิดจำเลยขึ้นมา ถ้าไม่มีการให้กำเนิดจำเลย ผลที่เป็นรูปธรรมก็คงไม่เกิดขึ้น แน่นอนที่สุดหากมีการเอาผิดพ่อแม่ของจำเลย การดังกล่าวย่อมไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
และเช่นกันที่มีความพยายามในการพัฒนาทฤษฎีอื่นๆ เช่น ทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม ( Aeaequanztheorie) ทฤษฎีเหตุที่สำคัญ ( Relavanztheorie) เพืออุดข้อบกพร่องของทฤษฎีเงื่อนไข แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสร้างเหตุผลที่สมบูรณ์ในการอธิบายเอาผิดทางอาญาในส่วนขององค์ประกอบภายนอกได้ อย่างไรเสีย ทฤษฎีเงื่อนไขยังเป็นทฤษฎีที่จำเป็น แต่ไม่เพียงพอที่จะใช้ทฤษฎีนี้แต่เพียงทฤษฎีเดียว ทฤษฎีเงื่อนไขยังต้องมีการพัฒนาและเติมเต็มในเชิงกฎเกณฑ์ต่อไป ซึ่งกรณีนี้นำไปสู่การพัฒนา ทฤษฎีความรับผิดเชิงภาวะวิสัย (Die Lehre von der objektiven Zurechnung) ซึ่งอาจารย์จะได้นำเสนอในตอนที่ ๒
.............................
บทความนี้ ผู้เขียนแปลจาก Vorlesungsskript : Strafrecht fur auslaendische Studierende ของ Dr.Peter Kasiske)
วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น